ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะหนี้สินระยะยาวอย่างค่างวดรถยนต์ หลายครัวเรือนอาจพบเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่กระทบต่อรายได้ ทำให้ความสามารถในการจ่ายหนี้ลดลง การแบกรับภาระผ่อนรถที่เคยจ่ายได้ อาจกลายเป็นเรื่องที่เกินกำลังในเวลาต่อมา ความกดดันทางการเงินและจิตใจเริ่มก่อตัวขึ้น จนนำไปสู่ทางแยกที่ต้องเลือกว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับสัญญาเช่าซื้อรถยนต์
การทำความเข้าใจถึงกระบวนการและผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถผ่อนต่อไปได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องพิจารณาถึงการคืนรถให้แก่บริษัทไฟแนนซ์ จึงเป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ทราบถึงขั้นตอนต่างๆ และประเด็นสำคัญที่อาจเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น ซึ่งจะช่วยให้เตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง
การเลือกคืนรถ
เมื่อภาระค่างวดรถยนต์หนักหนาเกินกว่าจะแบกรับไหว การเลือกที่จะนำรถไปคืนให้กับบริษัทไฟแนนซ์เป็นทางออกหนึ่งที่หลายคนจำต้องเผชิญ การดำเนินการเช่นนี้มักตามมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกัน ความผูกพันกับรถยนต์ที่เคยใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งพาไปทำงาน เดินทางท่องเที่ยว ย่อมทำให้เกิดความเสียดายและใจหายเป็นธรรมดา รถที่เปรียบเหมือนเพื่อนคู่ใจต้องจากไป
แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็เข้ามาแทนที่ การหลุดพ้นจากภาระ ความเครียดจากการหาเงินมาจ่ายค่างวด และการยุติการรับโทรศัพท์ทวงถามหนี้ ทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น การนอนหลับสนิทตลอดคืนกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริงอีกครั้ง การเลือกแนวทางนี้มักเกิดขึ้นหลังจากได้พยายามหาหนทางอื่นแล้ว แต่สถานการณ์บังคับให้ต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่ เช่น การต้องรักษาสิ่งที่จำเป็นกว่าอย่างที่อยู่อาศัยเอาไว้ การคืนรถจึงเป็นการยอมสละสิ่งหนึ่งเพื่อรักษาอีกสิ่งหนึ่ง และเป็นการดูแลสภาวะทางจิตใจให้หลุดจากความกดดันที่เผชิญอยู่ การปลดเปลื้องความกังวลนี้ช่วยให้มีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้
รู้เท่าทัน "ค่าส่วนต่าง" หลังการคืนรถ
เรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจอย่างยิ่งหลังจากการคืนรถยนต์คือประเด็นเรื่อง "ค่าส่วนต่าง" การส่งมอบรถคืนไม่ได้หมายความว่าภาระจะสิ้นสุดลงในทันที ตามกระบวนการแล้ว บริษัทไฟแนนซ์จะนำรถยนต์ที่ได้รับคืนไปดำเนินการขายทอดตลาด ซึ่งราคาที่ขายได้จากการประมูลมักจะต่ำกว่ายอดหนี้คงค้างที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อ
ส่วนต่างของราคาที่ขาดไปนี้ ไฟแนนซ์มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องจากผู้เช่าซื้อเดิมได้ตามกฎหมาย สิ่งที่ตามมาอาจเป็นการส่งหนังสือทวงถามหนี้ หรือกระทั่งการดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อบังคับให้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือ ซึ่งจำนวนเงินค่าส่วนต่างนี้อาจสูงเป็นหลักหมื่นหรือหลักแสนบาท สร้างความกังวลใจเพิ่มเติมได้อีก
แต่มีข้อมูลทางกฎหมายที่น่าสนใจระบุว่า หากในวันที่นำรถไปส่งคืน ผู้เช่าซื้อไม่ได้มีประวัติค้างชำระค่างวดใดๆ เลย อาจถือได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยสมัครใจ และไม่ได้เป็นการทำผิดสัญญา ในกรณีนี้ แนวคำพิพากษาศาลฎีกาบางส่วนชี้ว่าไฟแนนซ์อาจไม่มีสิทธิ์เรียกเก็บค่าส่วนต่างดังกล่าว หากไฟแนนซ์ยังคงดำเนินการทวงถามหรือฟ้องร้อง แนะนำให้ยืนหยันปฏิเสธการชำระ และเตรียมปรึกษาทนายความเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาล การแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ทวงหนี้ไปเลยว่า "ให้ไปดำเนินการทางศาล" อาจเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยยับยั้งการติดตามทวงถามได้ เพราะฝ่ายติดตามหนี้อาจประเมินแล้วว่าไม่คุ้มค่าที่จะดำเนินการต่อหากมีแนวโน้มว่าจะไม่ชนะคดี
อาจสรุปข้อมูลทางกฎหมายได้ดังนี้
- หากผู้เช่าซื้อ ไม่มีประวัติค้างชำระค่างวดใด ๆ เลย ณ วันที่นำรถไปคืน: อาจตีความได้ว่าเป็นการคืนรถโดยสมัครใจ และไม่ถือเป็นการผิดสัญญา ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาบางคดี
- แนวคำพิพากษาศาลฎีกาบางส่วน: ไม่อนุญาตให้บริษัทไฟแนนซ์เรียกค่าส่วนต่าง ระหว่างยอดหนี้คงเหลือกับราคาขายทอดตลาดของรถคืน หากคืนโดยสมัครใจแบบไม่มีผิดสัญญา
- การแจ้งเจ้าหน้าที่ทวงหนี้ว่า “ให้ไปดำเนินการทางศาล” เป็นกลยุทธ์ที่อาจใช้ได้ในบางกรณี และบางครั้งทำให้ฝ่ายทวงหนี้ไม่ติดตามต่อหากเห็นว่าคดีมีแนวโน้มแพ้
อย่างไรก็ตาม การจะนำข้อมูลทางกฎหมายดังกล่าวข้างต้นไปใช้นั้น ควรพิจารณาให้รอบคอบ เพราะมีรายละเอียดที่ต้องระมัดระวัง:
- แนวคำพิพากษาไม่ได้ใช้ได้กับทุกกรณี ต้องพิจารณาเงื่อนไขในสัญญาเช่าซื้อแต่ละฉบับ เช่น เงื่อนไขการคืนรถ หรือการบอกเลิกสัญญา
- ถึงแม้จะไม่มีค้างชำระ แต่ไฟแนนซ์อาจยังอ้างสิทธิ์ว่าผิดสัญญาได้ หากในสัญญาไม่ได้ให้สิทธิคืนรถโดยไม่มีผลเสีย
- แนวปฏิบัติของแต่ละบริษัทไฟแนนซ์อาจแตกต่างกัน และมีโอกาสฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าส่วนต่าง แม้ผู้เช่าซื้อจะไม่ค้างค่างวด
- คำว่า “ให้ไปดำเนินการทางศาล” แม้ใช้ได้ แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และควรปรึกษาทนายก่อน เพราะหากคดีขึ้นศาลจริงและแพ้ อาจต้องจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมศาล
ความรู้ความเข้าใจในสิทธิ์และข้อกฎหมายจึงเป็นเกราะป้องกันความกลัวและช่วยให้รับมือสถานการณ์ได้ดีขึ้น แม้จะมีกรณีที่หาได้ยากซึ่งรถขายทอดตลาดได้ราคาสูงกว่าหนี้และผู้เช่าซื้อได้รับเงินคืน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักต้องเผชิญกับปัญหาค่าส่วนต่างนี้
ทางเลือกและแนวทางปฏิบัติเมื่อผ่อนรถไม่ไหว
ก่อนจะไปถึงจุดที่ต้องคืนรถ มีทางเลือกอื่นที่อาจพิจารณาได้ก่อน ทางแรกคือการพยายามหาบุคคลอื่นที่สนใจมารับช่วงผ่อนต่อ หรือการขายรถให้กับผู้ซื้อรายใหม่เพื่อนำเงินไปปิดยอดหนี้กับไฟแนนซ์ ซึ่งบางครั้งก็อาจไม่สำเร็จหากขายรถได้ในราคาที่ไม่ครอบคลุมหนี้ หรือหาผู้รับช่วงต่อไม่ได้
อีกทางเลือกคือการเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อขอ "รีไฟแนนซ์" หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ วิธีนี้อาจช่วยลดจำนวนเงินผ่อนต่อเดือนลง โดยขยายระยะเวลาการผ่อนชำระให้นานขึ้น ซึ่งจะช่วยลดภาระในระยะสั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการผ่อนชำระใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว การเหลือค่างวดอีกไม่มาก การพยายามหาทางผ่อนต่อให้จบอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการคืนรถ
สำหรับขั้นตอนการคืนรถนั้น โดยทั่วไปคือการติดต่อแจ้งความประสงค์กับไฟแนนซ์เพื่อนัดหมายวันเวลาและสถานที่ส่งมอบรถ จะมีการทำเอกสารการส่งมอบรถคืนซึ่งควรตรวจสอบรายละเอียดและเก็บสำเนาไว้เป็นหลักฐานอย่างดี รวมถึงติดตามให้แน่ใจว่ามีการดำเนินการปิดบัญชีเรียบร้อยเพื่อป้องกันปัญหาในภายหลัง ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการติดต่อจากไฟแนนซ์หากมีการค้างชำระเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีการโทรติดตามในช่วงเช้าและเย็น และทราบว่าการคืนรถจะมีบันทึกในข้อมูลเครดิตด้วย
หลังจากไม่มีรถยนต์ส่วนตัว การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอาจจำเป็น เช่น การหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ หรือการวางแผนซื้อรถยนต์มือสองด้วยเงินสดเมื่อมีความพร้อมทางการเงินอีกครั้ง เป็นการเรียนรู้และปรับตัวตามสถานการณ์ เพื่อมุ่งสู่การมีชีวิตที่ปราศจากภาระหนี้สินที่เกินกำลังในอนาคต
รูปแบบการติดตามทวงถามจากไฟแนนซ์
กระบวนการติดตามทวงถามหนี้จากบริษัทไฟแนนซ์มักเริ่มต้นขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ค้างชำระนานหลายเดือน จากข้อมูลที่ปรากฏ การติดต่อทางโทรศัพท์อาจเริ่มมีเข้ามาตั้งแต่การผิดนัดชำระยังไม่ครบสองงวดด้วยซ้ำ ลักษณะการโทรอาจเกิดขึ้นทั้งในช่วงเช้าและช่วงเย็น ถึงแม้ความถี่อาจไม่ถึงกับทุกวัน แต่การติดต่อเข้ามาอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาดังกล่าวก็สร้างแรงกดดันทางจิตใจให้กับผู้ที่กำลังประสบปัญหาทางการเงินได้ไม่น้อย การต้องคอยรับสายและตอบคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ยากลำบากอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลในการดำเนินชีวิตประจำวัน การยุติวงจรนี้ด้วยการคืนรถจึงนำมาซึ่งความรู้สึกผ่อนคลายจากการถูกติดตามทวงถามอย่างต่อเนื่อง
มุมมองเรื่องทรัพย์สินและการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน
การเผชิญกับการสูญเสียทรัพย์สินอันเป็นที่รักอย่างรถยนต์ เปิดโอกาสให้เกิดมุมมองต่อสิ่งของนอกกายในมุมที่ต่างออกไป ความคิดที่ว่าทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นเรื่องธรรมดา ทรัพย์สินก็เช่นกัน การมีครอบครองได้ก็ย่อมมีวันสูญเสียไปได้ และเมื่อสูญเสียไปแล้วก็ย่อมมีโอกาสที่จะกลับมามีใหม่ได้อีกครั้งในอนาคตเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย มุมมองเช่นนี้ช่วยลดทอนความยึดติดถือมั่นในวัตถุลงได้ การปล่อยวางความเสียดายในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้จิตใจเป็นอิสระมากขึ้น และหันไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นแก่นสารของชีวิต เช่น การดูแลความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน หรือการสร้างความมั่นคงทางการเงินเพื่ออนาคต การยอมรับความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตและเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
สรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการคืนรถให้ไฟแนนซ์, ค่าส่วนต่าง ในกรณีผ่อนรถไม่ไหว:
1. สาเหตุหลักของการคืนรถ: ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาทางการเงิน ทำให้ไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดต่อไปได้ตามสัญญาเช่าซื้อ
2. ขั้นตอนการคืนรถ:
- ติดต่อบริษัทไฟแนนซ์โดยตรงเพื่อแจ้งความประสงค์ขอคืนรถ
- สอบถามเงื่อนไขและเอกสารที่ต้องใช้
- ชำระค่างวดที่ค้าง (หากมี) เพื่อลดโอกาสเกิดปัญหาค่าส่วนต่าง
- นัดหมายวันเวลาและสถานที่เพื่อส่งมอบรถคืน
- เตรียมเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สัญญาเช่าซื้อ ใบเสร็จค่างวดล่าสุด สำเนากรมธรรม์ พ.ร.บ. สมุดจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
- ตรวจสอบสภาพรถ ถ่ายรูปเลขไมล์และสภาพรถโดยรวมเก็บไว้เป็นหลักฐาน
- เซ็นเอกสารการส่งมอบรถคืน และเก็บสำเนาไว้
3. ค่าส่วนต่าง (Deficiency Liability) คือ ส่วนต่างระหว่างราคาที่ไฟแนนซ์ขายรถทอดตลาดได้ กับยอดหนี้คงค้างทั้งหมดตามสัญญา (รวมดอกเบี้ยที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระและค่าใช้จ่ายอื่นๆ)
4. การเกิดค่าส่วนต่าง: หากไฟแนนซ์ขายรถทอดตลาดได้ราคาต่ำกว่ายอดหนี้คงค้าง ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบส่วนต่างที่ขาดไป
5. การไม่เกิดค่าส่วนต่าง: หากไฟแนนซ์ขายรถทอดตลาดได้ราคาสูงกว่าหรือเท่ากับยอดหนี้คงค้าง ผู้เช่าซื้ออาจไม่ต้องจ่ายค่าส่วนต่าง หรืออาจได้รับเงินส่วนเกินคืน (แต่กรณีนี้เกิดขึ้นได้ยาก)
6. ปัจจัยที่อาจทำให้ไม่ต้องเสียค่าส่วนต่าง (ตามข้อมูลบางแหล่ง):
- มีประวัติการผ่อนชำระดี ไม่เคยผิดนัด หรือค้างชำระค่างวด ณ วันที่คืนรถ
- มูลค่ารถยนต์ในตลาด ณ วันที่คืน ยังสูงใกล้เคียงหรือสูงกว่ายอดหนี้คงค้าง
- การบอกเลิกสัญญาโดยผู้เช่าซื้อเอง และไฟแนนซ์ยินยอมรับรถคืน (แม้บางครั้งไฟแนนซ์อาจปฏิเสธการรับคืน)
7. ข้อกฎหมายและแนวคำพิพากษา:
- มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกา (เช่น ปี 2565 หรือก่อนหน้า) ที่ตัดสินให้ผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิดชอบค่าส่วนต่าง หากไม่ได้ค้างชำระค่างวดในขณะที่ส่งมอบรถคืน เพราะถือเป็นการตกลงเลิกสัญญากันโดยปริยาย
- การที่ไฟแนนซ์รับรถคืนไปโดยไม่ได้โต้แย้ง อาจถือเป็นการยอมรับการเลิกสัญญา
- สัญญาเช่าซื้อบางฉบับอาจระบุเงื่อนไขที่ไม่รัดกุม ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้ผู้เช่าซื้อต่อสู้คดีได้
8. ความเสี่ยงในการสู้คดี: แม้จะมีแนวคำพิพากษาที่เป็นประโยชน์ แต่การสู้คดีในศาลก็มีความไม่แน่นอน โอกาสชนะอาจไม่สูงเสมอไป และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี (ค่าทนาย ค่าธรรมเนียมศาล ค่าเดินทาง)
9. การดำเนินการของไฟแนนซ์หลังได้รถคืน: จะนำรถไปประเมินราคาและขายทอดตลาด ซึ่งอาจใช้เวลาพอสมควร
10. การติดตามทวงถามค่าส่วนต่าง: หากมีค่าส่วนต่าง ไฟแนนซ์จะส่งหนังสือทวงถาม หากไม่ชำระอาจดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล
11. ผลกระทบต่อเครดิตบูโร:
- หากคืนรถเอง โดยไม่มีการค้างชำระ อาจไม่ส่งผลเสียต่อประวัติเครดิตบูโรโดยตรง (แต่สถานะบัญชีจะเปลี่ยนไป)
- หากมีการค้างชำระค่างวดก่อนคืน หรือปล่อยให้ถูกยึด หรือมีหนี้ค่าส่วนต่างแล้วไม่ชำระ จะส่งผลเสียต่อประวัติเครดิตบูโร ทำให้การขอสินเชื่อในอนาคตเป็นไปได้ยาก
12. ทางเลือกอื่นนอกจากการคืนรถ:
- รีไฟแนนซ์ (Refinance): ขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินเดิมหรือแห่งใหม่ เพื่อยืดระยะเวลาผ่อน ลดค่างวดต่อเดือน (แต่อาจเสียดอกเบี้ยรวมเพิ่มขึ้น)
- ขายดาวน์: โอนสิทธิ์ในสัญญาเช่าซื้อให้บุคคลอื่นรับไปผ่อนต่อ โดยผู้ซื้อใหม่อาจจ่ายเงินดาวน์ส่วนหนึ่งให้ผู้ขายเดิม วิธีนี้เหมาะกับกรณีที่มูลค่ารถสูงกว่ายอดหนี้ และต้องได้รับความยินยอมจากไฟแนนซ์ในการเปลี่ยนชื่อผู้เช่าซื้อ
- ขายรถยนต์: ขายรถให้กับบุคคลอื่นหรือเต็นท์รถ แล้วนำเงินที่ได้ไปปิดยอดหนี้กับไฟแนนซ์ หากเงินไม่พอปิด อาจต้องหาเงินส่วนต่างมาเพิ่ม
- เจรจาประนอมหนี้: ติดต่อไฟแนนซ์เพื่อขอเจรจาปรับลดค่างวด หรือขอพักชำระหนี้ชั่วคราว (ขึ้นอยู่กับนโยบายของไฟแนนซ์และสถานการณ์)
13. คำแนะนำเมื่อต้องคืนรถ:
- ควรดำเนินการคืนรถ ก่อน ที่จะเริ่มค้างชำระค่างวด หากเป็นไปได้
- เก็บหลักฐานการชำระเงินงวดสุดท้าย และเอกสารการส่งมอบรถคืนอย่างละเอียด
- หากถูกฟ้องร้องค่าส่วนต่าง ควรปรึกษาทนายความเพื่อประเมินแนวทางการต่อสู้คดี
14. การบังคับใช้กฎหมาย: มีการกล่าวถึงการที่หน่วยงานกำกับดูแล (เช่น สคบ.) อาจมีประกาศหรือแนวทางเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อที่เป็นธรรมมากขึ้น แต่การบังคับใช้จริงและผลทางปฏิบัติยังคงต้องพิจารณาเป็นกรณีไป
15. การเปลี่ยนแปลงแนวทางของไฟแนนซ์: เพื่อลดความเสี่ยง ไฟแนนซ์อาจเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น หรือปรับปรุงเงื่อนไขในสัญญาให้รัดกุมยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาการคืนรถแล้วไม่จ่ายค่าส่วนต่าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น