การตัดสินใจซื้อสินค้าสักชิ้นหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่มีราคาสูง เช่น สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน กลายเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากขึ้นกว่าเดิม ปัจจัยหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจคือ “การผ่อนจ่าย” ซึ่งถูกนำเสนอในรูปแบบต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเอื้ออำนวยความสะดวกสบายและเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงสินค้าที่ต้องการได้ง่ายยิ่งขึ้น
การผ่อนจ่ายมักถูกนำเสนอด้วยภาพลักษณ์ที่สวยหรู เช่น การแบ่งจ่ายสบายๆ เป็นรายเดือน แบ่งจ่ายยาวๆ ซื้อก่อนจ่ายที่หลัง หรือดอกเบี้ย 0% ซึ่งดึงดูดใจผู้คนให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสินค้าเหล่านั้นมีราคาสูง การผ่อนชำระจึงดูเหมือนเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลและเข้าถึงได้ง่ายกว่าการจ่ายเงินก้อนใหญ่ในคราวเดียว อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความสะดวกสบายที่ฉาบฉวยนี้ อาจซุกซ่อนปัญหาและภาระทางการเงินที่หนักอึ้งในอนาคต
บ่อยครั้งที่ผู้คนมองข้ามผลกระทบระยะยาวของการผ่อนชำระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับแรงกระตุ้นจากโฆษณาและการตลาดที่โน้มน้าวให้เชื่อว่าการผ่อนชำระเป็นเรื่องปกติและเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ ความเชื่อที่ว่า “มีเงินน้อยก็ซื้อของแพงได้” กลายเป็นมายาคติที่ครอบงำความคิดของผู้คน ทำให้หลงลืมไปว่าการผ่อนคือการก่อหนี้ และภาระหนี้สินนั้นจะติดตามไปในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่สนับสนุนการผ่อนจ่ายโดยอ้างถึง “การใช้เงินของคนอื่น” เพื่อสร้างความมั่งคั่ง โดยเชื่อว่าการกู้เงินโดยไม่มีดอกเบี้ยเพื่อซื้อสินค้าต่างๆ จะช่วยให้มีเงินเหลือไปลงทุนได้มากขึ้น แนวคิดนี้ดูเผินๆ เหมือนจะสมเหตุสมผล แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันมักถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้จ่ายที่เกินตัว และบดบังความจริงที่ว่า การผ่อนจ่ายคือการสร้างภาระผูกพันทางการเงินในระยะยาวหรือหนี้แบบยาวๆ นั่นเอง
มายาคติของการผ่อนจ่าย นี่คือทางเลือกที่สมเหตุสมผลจริงหรือ?
การผ่อนจ่ายมักถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล เนื่องจากไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในบางกรณี และสามารถแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ได้สะดวกสบาย ทำให้เรารู้สึกว่าสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีราคาสูงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่บดบังความจริงที่ว่า การผ่อนจ่ายคือการก่อหนี้ และภาระหนี้นั้นจะติดตามไปในอนาคต
แนวคิดหนึ่งที่มักถูกนำมาอ้างเพื่อสนับสนุนการผ่อนจ่ายคือ ความเชื่อที่ว่าสินค้าเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาร์ทโฟน จะล้าสมัยอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการซื้อรุ่นใหม่ทุกปีจึงเป็นเรื่องปกติและจำเป็น อย่างไรก็ตาม มุมมองนี้สะท้อนให้เห็นถึง "ความคิดแบบคนเป็นหนี้" ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีความต้องการครอบครองสิ่งของที่เกินกว่ากำลังทรัพย์ที่มีอยู่จริง ไม่สามารถรอเก็บเงินเพื่อซื้อสินค้าได้ และต้องการตอบสนองความต้องการของตนเองโดยเร็วที่สุด การผ่อนจ่ายจึงกลายเป็นทางออกที่ดูเหมือนจะง่ายที่สุด แต่ในระยะยาวแล้ว อาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินที่หนักอึ้งได้
การผ่อนจ่ายยังอาจนำไปสู่การใช้จ่ายที่เกินตัว เนื่องจากเรารู้สึกว่าสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีราคาสูงได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ในคราวเดียว ทำให้เกิดพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น หรือสินค้าที่เกินความจำเป็นในการใช้งานจริง
ความจริงเบื้องหลังการผ่อนจ่าย ภาระที่มองไม่เห็น
ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตัดสินใจผ่อนชำระสินค้าเพื่อนำเงินไปลงทุน แต่เป็นเพราะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ไม่สามารถหาเงินสดจำนวนมากมาซื้อสินค้าได้ในครั้งเดียว การผ่อนจ่ายจึงเป็นทางเลือกที่ดูเหมือนจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว การผ่อนชำระสินค้าราคาแพงเป็นการสร้างภาระทางการเงินในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ในกรณีของการซื้อรถยนต์ใหม่ นอกเหนือจากการผ่อนชำระค่ารถแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าประกันภัยรถยนต์ ค่าภาษี และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว
ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมการผ่อนชำระสินค้าราคาแพงได้กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน การผ่อนชำระสินค้าต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดภาระทางการเงินที่สะสมและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว การผ่อนชำระหลายรายการพร้อมกัน อาจทำให้เกิดภาระหนี้สินที่เกินกำลัง และนำไปสู่ปัญหาทางการเงินที่รุนแรงได้
รถยนต์คันใหม่และมายาคติของความจำเป็น
หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนของมายาคติเกี่ยวกับการผ่อนจ่ายคือ การซื้อรถยนต์ใหม่ หลายคนเชื่อว่าการซื้อรถใหม่เป็นสิ่งที่จำเป็น และการผ่อนชำระเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเขาสามารถเป็นเจ้าของรถได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข้อเสนอที่ดึงดูดใจ เช่น ดอกเบี้ย 0% ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อตกลงที่ดีเยี่ยม
อย่างไรก็ตาม การซื้อรถใหม่มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายแฝงมากมายที่มักถูกมองข้ามไป นอกเหนือจากค่างวดรถที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละเดือนแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าประกันภัยรถยนต์ ซึ่งมักมีราคาสูงกว่าสำหรับรถใหม่ ค่าภาษี ค่าป้ายทะเบียน และค่าบำรุงรักษา ซึ่งอาจสูงกว่ารถมือสองอย่างมีนัยสำคัญ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้ว อาจเป็นภาระทางการเงินที่หนักอึ้งและส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว
นอกจากนี้ การเสื่อมราคาของรถยนต์ใหม่เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ควรพิจารณา รถยนต์ใหม่จะสูญเสียมูลค่าอย่างรวดเร็วในช่วงปีแรกๆ ทำให้มูลค่าของรถลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อมา การผ่อนชำระรถยนต์ใหม่จึงอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าในระยะยาว
มายาคติอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับการซื้อรถใหม่คือ ความเชื่อที่ว่าการมีรถใหม่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเจ้าของ อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายนี้ต้องแลกมาด้วยภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้น และภาพลักษณ์ที่ดีนั้นอาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากการตลาด
ผู้คนจำนวนมากผ่อนชำระรถยนต์ใหม่โดยที่ตัวเองมีเงินสดเพียงพอที่จะซื้อรถมือสองที่มีสภาพดีได้ แต่พวกเขาเลือกที่จะผ่อนรถใหม่เพราะเชื่อว่ามัน "จำเป็น" หรือเพราะต้องการภาพลักษณ์ที่ดีกว่า การตัดสินใจเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึง "ความคิดแบบคนเป็นหนี้" ที่ต้องการครอบครองสิ่งที่เกินกำลังทรัพย์ และไม่สามารถรอหรือประเมินความจำเป็นได้อย่างเหมาะสม
การพิจารณาเลือกซื้อรถมือสองที่มีสภาพดีอาจเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่าในแง่ของการเงิน เนื่องจากรถมือสองมีราคาที่ต่ำกว่าและอัตราการเสื่อมราคาที่ช้ากว่า ทำให้ผู้ซื้อประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น และยังคงได้รับประโยชน์จากการมีรถยนต์ใช้เช่นกัน
การตัดสินใจซื้อรถยนต์ ควรพิจารณาจากความจำเป็นในการใช้งานจริงและสถานะทางการเงินของตนเองอย่างรอบคอบ การหลีกเลี่ยงการผ่อนชำระรถยนต์ใหม่ที่ไม่จำเป็นจะช่วยลดภาระทางการเงินและเพิ่มเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาวได้
ความจำเป็นและค่าใช้จ่ายที่มากเกินไป
การผ่อนชำระสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น สมาร์ทโฟนราคาแพงหรือรถยนต์ใหม่ ได้กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมปัจจุบัน แต่สิ่งสำคัญคือการตั้งคำถามว่า สิ่งเหล่านี้ "จำเป็น" จริงๆ หรือไม่ และคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปหรือไม่
มีคำกล่าวที่ว่า "ไม่มีใครจำเป็น ต้องใช้โทรศัพท์ราคาเกิน 30,000 หรอกนะ" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า ผู้คนส่วนใหญ่มักใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งที่เกินความจำเป็นในการใช้งานจริง การผ่อนชำระสินค้าเหล่านี้เป็นการสร้างภาระทางการเงินที่ไม่จำเป็น และอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว
การใช้จ่ายอย่างมีสติคือ ทางออกจากวังวน
ข้อเสนอต่างๆ เช่น ดอกเบี้ย 0%, ผ่อนจ่ายยาวๆ ไม่ต้องดาวน์, โปรผ่อนโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุด เป็นต้น ได้กลายเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดึงดูดใจผู้คนให้ตัดสินใจซื้อสินค้าราคาแพงโดยไม่คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ในระยะยาว ทำให้ผู้คนจำนวนมากตกอยู่ในวงจรการ "ผ่อนจ่ายไปตลอดชีวิต"
การตัดสินใจซื้อสินค้าราคาแพง ควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ และควรประเมินความสามารถในการชำระหนี้ในระยะยาวอย่างจริงจัง หากโทรศัพท์หรือสินค้าใดๆ มีราคาแพงจนต้องใช้เวลาหลายปีในการผ่อนชำระ แสดงว่าสินค้าชิ้นนั้นอาจมีราคาแพงเกินไปและไม่เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของผู้ซื้อ
การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบและการใช้จ่ายอย่างมีสติเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว การหลีกเลี่ยงการผ่อนชำระสินค้าฟุ่มเฟือยและการใช้จ่ายเกินตัวจะช่วยลดภาระทางการเงินและสร้างเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออมเงินและการลงทุนอย่างเหมาะสมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการตกอยู่ในวังวนของการผ่อนชำระที่ไม่สิ้นสุด
- การผ่อนจ่ายมักถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ง่ายและสะดวก แต่เบื้องหลังคือการก่อหนี้และสร้างภาระในอนาคต
- พฤติกรรมการผ่อนสะท้อนถึง "ความคิดแบบคนเป็นหนี้" คือต้องการสิ่งที่เกินกำลังทรัพย์ และไม่สามารถรอเก็บเงินได้
- หลายคนเชื่อว่าการผ่อนสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความจริงแล้วอาจไม่ใช่
- แนวคิด "ใช้เงินคนอื่น" ลงทุนจากการกู้เงิน เป็นข้ออ้างของการใช้จ่ายเกินตัว
- การซื้อรถใหม่มีค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ประกัน ภาษี และค่าบำรุงรักษา ที่มักถูกมองข้าม
- รถใหม่เสื่อมราคเร็ว ทำให้การผ่อนไม่คุ้มค่าในระยะยาว
- คนส่วนใหญ่ผ่อนเพราะไม่มีเงินสด ไม่ใช่เพื่อการลงทุน
- การผ่อนกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมที่ใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน
- ก่อนผ่อน ควรพิจารณาความจำเป็นและประเมินภาระทางการเงินอย่างรอบคอบ
- หากต้องผ่อนสินค้านานหลายปี แสดงว่าสินค้านั้นแพงเกินไป
- การใช้จ่ายอย่างมีสติและการวางแผนการเงินสำคัญกว่าการตกอยู่ในวังวนการผ่อนชำระ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น